เครื่องมือที่ใช้พัฒนาแอพพลิเคชัน

20 กรกฎาคม ค.ศ. 2024 โดย
Administrator

แนวโน้มเครื่องมือที่ใช้พัฒนาเว็บแอปพลิเคชันในปี 2024 - 2025

เทคโนโลยีการพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันมีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาอย่างรวดเร็ว เครื่องมือใหม่ ๆ เกิดขึ้นอยู่เสมอ และเครื่องมือที่มีอยู่ก็ได้รับการพัฒนาปรับปรุงอยู่เป็นประจำ การติดตามเทรนด์ล่าสุดและเลือกเครื่องมือที่เหมาะสม จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเจ้าของธุรกิจในการเลือกจ้างนักพัฒนาเว็บแอปพลิเคชัน เราสามารถกำหนดเลือกมือที่ทันสมัย และไม่ต้องสิ้นเปลืองงบประมาณในการเปลี่ยนระบบบ่อยๆ ซึ่ง ในปี 2024 – 2025  TECHLEADERS คาดว่าจะมีแนวโน้มการใช้เครื่องมือพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันดังต่อไปนี้


1. เครื่องมือ No-code/Low-code :

เครื่องมือ No-code/Low-code กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะช่วยให้ผู้ใช้ที่ไม่มีพื้นฐานการเขียนโปรแกรมสามารถสร้างเว็บแอปพลิเคชันได้อย่างง่ายดาย เครื่องมือเหล่านี้มักจะมีส่วนติดต่อผู้ใช้แบบกราฟิก ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถลากและวางองค์ประกอบต่างๆ เพื่อสร้างแอปพลิเคชันได้โดยไม่ต้องเขียนโค้ด

ตัวอย่างเครื่องมือ No-code/Low-code :

* AppMaster :  ช่วยให้นักพัฒนาสามารถสร้างเว็บแอปพลิเคชันมือถือและเดสก์ท็อปโดยไม่ต้องเขียนโค้ด รองรับการเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลหลากหลายประเภท และมีฟีเจอร์การรักษาความปลอดภัยที่ครบครัน

* Bubble :  โดดเด่นด้านการออกแบบอินเทอร์เฟซผู้ใช้ที่สวยงาม ใช้งานง่าย และมีเทมเพลตให้เลือกมากมาย เหมาะสำหรับการสร้างแอปพลิเคชันประเภทธุรกิจและโซเชียลมีเดีย

* Adalo :  เน้นความรวดเร็วในการสร้างแอปพลิเคชัน สามารถสร้างแอปพลิเคชันพื้นฐานได้ภายในเวลาไม่กี่นาที เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นหรือต้องการสร้าง MVP


2. เฟรมเวิร์ก JavaScript :

เฟรมเวิร์ก JavaScript ยังคงเป็นเครื่องมือที่นิยมใช้สำหรับการพัฒนาเว็บแอปพลิเคชัน เพราะมีความยืดหยุ่นสูง รองรับการพัฒนาแอปพลิเคชันที่ซับซ้อน และมีชุมชนผู้ใช้ที่ใหญ่ เฟรมเวิร์กยอดนิยมในปี 2024 ได้แก่ :

* React : พัฒนาโดย Facebook เหมาะสำหรับการสร้างเว็บแอปพลิเคชันแบบหน้าเดียว (SPA) มีประสิทธิภาพสูง และมีไลบรารีสำเร็จรูปให้เลือกมากมาย

* Angular :  พัฒนาโดย Google เหมาะสำหรับการสร้างเว็บแอปพลิเคชันขนาดใหญ่ที่มีโครงสร้างซับซ้อน มีระบบจัดการโมดูลที่รัดกุม และรองรับการทดสอบหน่วยทดสอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ

* Vue.js :  มีขนาดเล็ก น้ำหนักเบา และใช้งานง่าย เหมาะสำหรับการสร้างเว็บแอปพลิเคชันขนาดเล็กถึงขนาดกลาง มีชุมชนผู้ใช้ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว


3. คอนเทนเนอร์ :

คอนเทนเนอร์ กลายเป็นวิธีมาตรฐานสำหรับการปรับใช้เว็บแอปพลิเคชัน เพราะช่วยให้สามารถแยกแอปพลิเคชันออกจากระบบปฏิบัติการและฮาร์ดแวร์พื้นฐาน ทำให้สามารถปรับใช้แอปพลิเคชันได้อย่างง่ายดายและรวดเร็วบนแพลตฟอร์มต่างๆ

ตัวอย่างแพลตฟอร์มคอนเทนเนอร์ :

* Docker : แพลตฟอร์มคอนเทนเนอร์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด รองรับการใช้งานบนระบบปฏิบัตการ




4. Serverless Computing :

Serverless Computing เป็นรูปแบบการให้บริการที่ช่วยให้ผู้พัฒนาสามารถรันโค้ดได้โดยไม่ต้องจัดการเซิร์ฟเวอร์ เหมาะสำหรับการสร้างเว็บแอปพลิเคชันที่รองรับการใช้งานแบบไม่คาดการณ์ได้ เช่น เว็บแอปพลิเคชันสำหรับการประมวลผลข้อมูล หรือเว็บแอปพลิเคชันที่รองรับการใช้งานจำนวนมาก


ตัวอย่างผู้ให้บริการ Serverless Computing :

* AWS Lambda :  บริการ Serverless Computing จาก Amazon Web Services (AWS) รองรับการใช้งานหลายภาษา และมีฟีเจอร์การบริหารจัดการที่ครบครัน

* Google Cloud Functions : บริการ Serverless Computing จาก Google Cloud Platform (GCP) รองรับการทำงานร่วมกับบริการอื่น ๆ ของ GCP ได้อย่างสะดวก

* Azure Functions : บริการ Serverless Computing จาก Microsoft Azure รองรับการใช้งานหลายภาษา และสามารถปรับขนาดการใช้งานได้อย่างยืดหยุ่น


5. Progressive Web Apps (PWAs) :

Progressive Web Apps (PWAs) เป็นเทคโนโลยีที่ผสมผสานระหว่างเว็บไซต์และเว็บแอปพลิเคชัน โดย PWAs สามารถทำงานได้ทั้งบนเบราว์เซอร์และติดตั้งลงบนมือถือได้เหมือนแอปพลิเคชันทั่วไป ข้อดีของ PWAs คือ สามารถเข้าถึงได้ง่าย ไม่ต้องติดตั้ง และสามารถทำงานแบบออฟไลน์ได้

ตัวอย่างเครื่องมือที่ช่วยสร้าง PWAs :

* Workbox :  ไลบรารีโอเพนซอร์สจาก Google ช่วยให้เพิ่มฟีเจอร์การทำงานแบบออฟไลน์ และ Push Notification ให้กับเว็บไซต์

* PwaBuilder : เครื่องมือออนไลน์ที่ช่วยสร้าง Progressive Web Apps โดยไม่ต้องเขียนโค้ด


6. เครื่องมือปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ Machine Learning (ML) :

เครื่องมือปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ Machine Learning (ML) กำลังถูกนำมาใช้ในการพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันมากขึ้น เช่น การสร้างระบบแชทบอท ระบบแนะนำสินค้า หรือระบบตรวจสอบความปลอดภัย

ตัวอย่างการใช้งาน AI/ML ในเว็บแอปพลิเคชัน :

* ระบบแชทบอท : ช่วยให้ผู้ใช้สามารถติดต่อกับธุรกิจได้ตลอด 24 ชั่วโมง และตอบคำถามเบื้องต้นได้อย่างรวดเร็ว

* ระบบแนะนำสินค้า : ช่วยให้ผู้ใช้ค้นหาสินค้าที่ตรงกับความต้องการได้ง่ายขึ้น และเพิ่มโอกาสในการขาย

* ระบบตรวจสอบความปลอดภัย : ช่วยปกป้องเว็บแอปพลิเคชันจากการโจมตีทางไซเบอร์


7. ความจริงเสริม (AR) และความจริงเสมือน (VR) :

ความจริงเสริม (AR) และความจริงเสมือน (VR) เป็นเทคโนโลยีที่กำลังได้รับความนิยม และสามารถนำมาใช้ในการพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันได้ เช่น การสร้างแอปพลิเคชันสำหรับการเรียนรู้ การฝึกอบรม หรือการท่องเที่ยวเสมือนจริง

ตัวอย่างการใช้งาน AR/VR ในเว็บแอปพลิเคชัน :

* แอปพลิเคชันสำหรับการเรียนรู้ : ช่วยให้นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้อย่าง interactive และเห็นภาพมากขึ้น

* แอปพลิเคชันสำหรับการฝึกอบรม : ช่วยจำลองสถานการณ์ต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ฝึกอบรมสามารถฝึกฝนได้อย่างปลอดภัย




8. Internet of Things (IoT) :

เทคโนโลยี Internet of Things (IoT) กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว และมีการนำมาเชื่อมต่อกับเว็บแอปพลิเคชันมากขึ้น เช่น การสร้างแอปพลิเคชันสำหรับควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้า هوشمند หรือการสร้างแอปพลิเคชันสำหรับติดตามข้อมูลสุขภาพ

ตัวอย่างการใช้งาน IoT ในเว็บแอปพลิเคชัน :

* แอปพลิเคชันสำหรับควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้า هوشمند : ช่วยให้ผู้ใช้สามารถควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านได้จากระยะไกล เช่น การเปิด-ปิดไฟ หรือการปรับอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศ

* แอปพลิเคชันสำหรับติดตามข้อมูลสุขภาพ : ช่วยให้ผู้ใช้สามารถติดตามข้อมูลสุขภาพ เช่น อัตราการเต้นของหัวใจ หรือความดันโลหิต ได้อย่างสะดวก


9. Cybersecurity :

Cybersecurity เป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับเว็บแอปพลิเคชัน เพราะช่วยปกป้องข้อมูลผู้ใช้และข้อมูลธุรกิจจากการโจมตีทางไซเบอร์

แนวทางปฏิบัติที่ดีด้าน Cybersecurity :

* การใช้รหัสผ่านที่ปลอดภัย : ผู้ใช้ควรใช้รหัสผ่านที่ยาว มีความซับซ้อน และไม่ควรใช้รหัสผ่านเดียวกันกับหลายเว็บไซต์

* การอัปเดทซอฟต์แวร์ : ผู้พัฒนาเว็บแอปพลิเคชันควรอัปเดทซอฟต์แวร์ที่ใช้ เพื่อปิดช่องโหว่ด้านความปลอดภัย

* การใช้ใบรับรอง SSL : เว็บแอปพลิเคชันที่เก็บข้อมูลผู้ใช้ ควรใช้ใบรับรอง SSL เพื่อเข้ารหัสข้อมูลระหว่างเบราว์เซอร์และเซิร์ฟเวอร์




10. ประสิทธิภาพการทำงาน (Performance) :

ประสิทธิภาพการทำงาน เป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับเว็บแอปพลิเคชัน เพราะส่งผลต่อประสบการณ์ผู้ใช้ เว็บแอปพลิเคชันที่รวดเร็ว จะทำให้ผู้ใช้รู้สึกพึงพอใจมากกว่าเว็บแอปพลิเคชันที่ทำงานช้า

เทคนิคการปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานของเว็บแอปพลิเคชัน :

* การใช้ Content Delivery Network (CDN) : CDN จะช่วยกระจายข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ทั่วโลก ทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงเว็บแอปพลิเคชันได้รวดเร็วขึ้น

* การย่อขนาดไฟล์ : การย่อขนาดไฟล์ภาพ ไฟล์ JavaScript และไฟล์ CSS จะช่วยลดเวลาในการโหลดเว็บไซต์

* การใช้การแคช : การแคชข้อมูล จะช่วยให้เบราว์เซอร์ไม่ต้องโหลดข้อมูลเดิมซ้ำ ทำให้เว็บไซต์ทำงานได้รวดเร็วขึ้น

* Low-code/No-code for Enterprise : เครื่องมือ Low-code/No-code กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นในองค์กร เพราะช่วยให้พนักงานที่ไม่ใช่สาย IT สามารถสร้างแอปพลิเคชันภายในองค์กรได้เอง

* Cloud-Native Development : การพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันบนระบบคลาวด์ กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้น เพราะช่วยให้ปรับขนาดการใช้งานได้ง่าย และประหยัดต้นทุน

* Ethical AI : การพัฒนา AI ที่คำนึงถึงและความเท่าเทียม เป็นสิ่งที่สำคัญ เพื่อป้องกันการเกิดอคติ


สรุป

เทคโนโลยีที่ใช้ในการพัฒนาเว็บแอปพลิเคชัน มีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาอย่างรวดเร็ว เจ้าของธุรกิจควรติดตามเทรนด์เครื่องที่ใช้พัฒนาเว็บแอปพลิเคชัน เพื่อที่จะเลือกจ้างพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันที่เหมาะสม เพื่อสร้างเว็บแอปพลิเคชันที่มีประสิทธิภาพ ตอบโจทย์ความต้องการของธุรกิจ และลูกค้าผู้ใช้งาน และสามารถแข่งขันได้ในตลาด ไม่ต้องเสียต้นทุนซ้ำซ้อนในการเปลี่ยนระบบนะคะ



นิ้ว WEB APPLICATION